tag:blogger.com,1999:blog-87542907131614718572024-03-13T13:33:44.869-07:00งานกิจการนักเรียนโชคดี ท้าวสายhttp://www.blogger.com/profile/06062059303891341057noreply@blogger.comBlogger1125tag:blogger.com,1999:blog-8754290713161471857.post-6467930390470086082008-07-09T19:47:00.000-07:002008-07-09T19:51:12.826-07:00นานาวิธีสอน<span style="font-family:arial;font-size:85%;">การศึกษา : นานาวิธีสอน<br /> <br />ความหมายของการศึกษา <br />ยัง ยัคส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) ได้ให้ความหมายของการศึกษาไว้ว่า การศึกษา<br />คือ การปรับปรุงคนให้เหมาะกับ โอกาสและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป หรืออาจกล่าวได้ว่า <br />การศึกษาคือการนำความสามารถในตัวบุคคลมาใช้ให้เกิดประโยชน์<br />โจฮัน เฟรดเดอริค แฮร์บาร์ต (John Friedich Herbart) ให้ความหมายของการศึกษาว่า<br />การศึกษาคือ การทำพลเมืองให้มีความประพฤติดี และมีอุปนิสัยที่ดีงาม<br />เฟรด ดเอริค เฟรอเบล (Friedrich Froebel) การศึกษา หมายถึง การพัฒนาบุคลิกภาพของเด็กเพื่อให้เด็กพัฒนาตนเอง<br />จอห์น ดิวอี้ (John Dewey) ได้ให้ความหมายของการศึกษาไว้หลายความหมาย คือ<br />1. การศึกษาคือชีวิต ไม่ใช่เตรียมตัวเพื่อชีวิต<br />2. การศึกษาคือความเจริญงอกงาม<br />3. การศึกษาคือกระบวนการทางสังคม<br />4. การศึกษาคือการสร้างประสบการณ์แก่ชีวิต<br />คาร์เตอร์ วี. กู๊ด (Carter V. Good) ได้ให้ความหมายของการศึกษาไว้ 3 ความหมาย คือ<br />1. การศึกษาหมายถึงกระบวนการต่าง ๆ ที่บุคคลนำมาใช้ในการพัฒนาความรู้ ความสามารถ เจตคติ ความประพฤติที่ดีมีคุณค่า และมีคุณธรรมเป็นที่ยอมรับนับถือของสังคม<br />2. การศึกษาเป็นกระบวนการทางสังคมที่ทำให้บุคคลได้รับความรู้ความสามารถจากสิ่งแวดล้อมที่โรงเรียนจัดขึ้น<br />3. การศึกษาหมายถึงการถ่ายทอดความรู้ต่าง ๆ ที่รวบรวมไว้อย่างเป็นระเบียบให้คนรุ่นใหม่ได้ศึกษา<br />ม.ล.ปิ่น มาลากุล การศึกษาเป็นเครื่องหมายที่ทำให้เกิดความเจริญงอกงามในตัวบุคคล<br />ดร. สาโช บัวศรี การศึกษา หมายถึง การพัฒนาบุคคลและสังคมที่ทำให้คนได้มีการเรียนรู้ และพัฒนาขึ้นไปสู่ความเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม<br />สรุป การศึกษา เป็นกระบวนการให้ส่งเสริมให้บุคคลเจริญเติบโตและมีความเจริญงอกงามทางกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญาจนเป็นสมาชิกของสังคมที่มีคุณธรรมสูง<br /><br /> การเรียนรู้ (Learning) <br />1. หมายถึง กระบวนการที่ประสบการณ์ตรงและประสบการณ์ทางอ้อมกระทำให้อินทรีย์ เกิดการเลี่ยนแปลง <br />2. หมายถึง การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม อันเนื่องมาจากได้รับประสบการณ์ (Experience)<br />ประสบการณ์ (Experience) คือ การที่บุคคลใช้ประสาทสัมผัสปะทะ (Interaction) กับสิ่งแวดล้อม (Environment) ซึ่งประกอบด้วย สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ สิ่งแวดล้อมทางสังคม (มนุษย์ด้วยกัน) และสิ่งแวดล้อมทางขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ ที่บุคคลปะทะแล้วทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมขึ้น<br /> ปกติสภาพแวดล้อมมีทั้งดีและไม่ดี สิ่งแวดล้อมที่ดีจะเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางที่ดี <br />ในทางตรงข้ามถ้าสิ่งแวดล้อมไม่ดีก็จะเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางไม่ดี ทั้งนี้เมื่อพันธุกรรมเป็นตังคงที่ ดังนั้นถ้าต้องการให้บุคคลเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปในทางดี (การศึกษา – เจริญงอกงาม) <br />จึงไม่อาจปล่อยให้บุคคลไปปะทะกับสิ่งแวดล้อมโดยอิสระ จำเป็นต้องจัดสถานการณ์เฉพาะให้บุคคลปะทะถึงสิ่งแวดล้อมที่ดี และนี่คือที่มาของ การจัดการศึกษา ในการจัดการศึกษา <br />จุดมุ่งหมายสำคัญก็เพื่อให้มี การสอน ที่ถูกต้องชัดเจน<br /> ความหมายของการสอน<br />- การสอน หมายถึง การถ่ายทอดความรู้<br />- การสอน หมายถึง การจัดให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้<br />- การสอน หมายถึง การฝึกให้ผู้เรียนคิดแก้ปัญหาต่าง ๆ<br />- การสอน หมายถึง การแนะแนวทางแก่ผู้เรียนเพื่อให้ศึกษาหาความรู้<br />- การสอน หมายถึง การสร้างหรือการจัดสถานการณ์เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้<br />- การสอน หมายถึง กระบวนการที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ เกิดความคิดที่จะนำความรู้ไปใช้เกิดทักษะหรือความชำนาญที่จะแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม<br />- การสอน หมายถึง การจัดประสบการณ์ที่เหมาะสมให้นักเรียนได้ปะทะเพื่อที่จะให้เกิดการเรียนรู้หรือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปในทางที่ดีขึ้น การสอนจึงเป็นกระบวนการสำคัญที่ก่อให้เกิดการเจริญงอกงาม<br /><br /> ระบบการเรียนการสอน<br /> ระบบการเรียนการสอน มีองค์ประกอบที่เป็นตัวป้อน กระบวนการ และ ผลผลิต<br />1. ตัวป้อน ได้แก่ ครู หรือ ผู้สอน ผู้เรียน หลักสูตร สิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ วัสดุอุปกรณ์<br />2. กระบวนการ ได้แก่ การดำเนินการสอน การตรวจสอบความรู้พื้นฐาน การสร้างความพร้อมในการเรียน การใช้เทคนิคการสอนต่าง ๆ<br />3. ผลผลิต ได้แก่ ผลการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย<br /><br />จุดประสงค์การเรียนการสอน<br /> ความหมายของจุดประสงค์การเรียนการสอน<br />จุดประสงค์การเรียนการสอน คือข้อความที่ระบุคุณลักษณะการเรียนรู้และความสามารถที่ครูต้องการให้เกิดขึ้นกับนักเรียน หลังจากที่นักเรียนได้ผ่านกิจกรรมการเรียนการสอนในบทหนึ่ง ๆ แล้ว ความสำคัญของจุดประสงค์การเรียนการสอน<br />จุดประสงค์การเรียนการสอนเป็นจุดหมายปลายทางของการเรียนการสอนที่ได้แนวทางมาจากความคิดรวบยอดการเรียนการสอน เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนและการวัดผลการสอน จุดประสงค์การเรียนการสอนย่อมแสดงว่า นักเรียนเกิดการเรียนรู้ แบ่งได้เป็น 2 ระดับ คือ<br />1. จุดประสงค์ทั่วไป เป็นจุดประสงค์ที่มีความหมายกว้างไม่เฉพาะเจาะจง และเป็นจุดประสงค์ที่ตั้งขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้ง เช่น เพื่อให้มีนิสัยใฝ่หาความรู้ เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจ และเห็นคุณค่าในศิลปวัฒนธรรมไทย<br />2. จุดประสงค์เฉพาะ เป็นจุดประสงค์ที่มีเฉพาะเจาะจง และเป็นจุดที่ตั้งขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้ง เช่น นักเรียนสามารถเขียนแผนภูมิแท่งได้ นักเรียนสามารถวาดภาพได้จุดประสงค์เฉพาะจะชี้ให้เห็นสิ่งที่ต้องการจากการศึกษาอย่างเจาะจงและเกี่ยวข้องกับเนื้อหาโดยตรง นอกจากนี้ จุดประสงค์ยังอาจแบ่งได้ตามลักษณะการเรียนรู้ได้เป็น 3 ด้าน <br /><br />การจำแนกประเภทของจุดประสงค์ทางการศึกษาของ บลูม และคณะ<br /> บลูม (Benjamin S. Bloom) และ คณะ ได้จำแนกจุดประสงค์ทางการศึกษา (Taxonomy of Education Objects) ออกเป็น 3 ด้าน ดังนี้<br />1. ด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) หรือด้านสติปัญญา หรือด้านความรู้และการคิดประกอบด้วยความรู้ความจำเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ การนำเอาสิ่งที่เป็นความรู้ความจำไปทำความเข้าใจ นำไปใช้ การใช้ความคิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินค่า<br />2. ด้านจิตพิสัย (Effective Domain) หรือด้านอารมณ์ – จิตใจ ความสนใจ เจตคติ ค่านิยม และคุณธรรม เช่น การเห็นคุณค่า การรับรู้ การตอบสนอง และการสร้างคุณค่าในเรื่องที่ตนรับรู้นั้น แล้วนำเอาสิ่งที่มีคุณค่านั้นมาจัดระบบและสร้างเป็นลักษณะนิสัย<br />3. ด้านทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) หรือด้านทักษะทางกาย หรือด้านการปฏิบัติ ประกอบด้วยทักษะการเคลื่อนไหว และการใช้อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น การเลียนแบบ การทำตามคำบอก การทำอย่างถูกต้องเหมาะสม การทำได้ถูกต้องหลายรูปแบบ การทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ<br /><br />จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม <br /> จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม คือ จุดประสงค์ของการเรียนการสอนที่บอกให้ทราบว่า หลังจากจบบทเรียนนั้น ๆ แล้ว ผู้เรียนสามารถแสดงพฤติกรรมที่วัดได้ สังเกตได้ ออกมาอย่างไรบ้าง<br />หลักทั่วไปในการเขียนจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม<br />1. เขียนสั้น ๆ ให้ได้ใจความ ควรมีความยาวหนึ่งหรือสองประโยคเท่านั้น<br />2. ระบุพฤติกรรมที่คาดว่าจะเกิดเพียงหนึ่งพฤติกรรม<br />3. ระบุพฤติกรรมปลายทางที่คาดว่าจะเกิด<br />4. เป็นพฤติกรรมที่สังเกตเห็นเป็นรูปธรรม ไม่ใช่สิ่งที่เป็นนามธรรม<br /> ลักษณะการสอนที่ดี <br /> การสอนที่ดีควรมีลักษณะ ดังนี้<br />1. มีการส่งเสริมนักเรียนให้เรียนด้วยการกระทำ การได้ลงมือทำจริง ให้ประสบการณ์ที่มีความหมาย<br />2. มีการส่งเสริมนักเรียนให้เรียนด้วยการทำงานเป็นกลุ่ม นักเรียนได้แสดงความคิดเห็นยอมรับความคิดเห็นซึ่งกันและกัน การทำงานร่วมกับผู้อื่น<br />3. มีการตอบสนองความต้องการของนักเรียน เรียนด้วยความสุข ความสนใจ กระตือรือร้นในการทำกิจกรรมต่าง ๆ<br />4. มีการสอนให้สัมพันธ์ระหว่างวิชาที่เรียนกับวิชาอื่น ๆ ในหลักสูตรเป็นอย่างดี<br />5. มีการใช้สื่อการสอน จำพวกโสตทัศนวัสดุ เพื่อเร้าความสนใจ ช่วย ผู้เรียนเข้าใจบทเรียนได้ง่ายขึ้น<br />6. มีกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อเร้าความสนใจ ผู้เรียนสนุกสนาน ได้ลงมือปฏิบัติจริง และดูผลการปฏิบัติของตนเอง<br />7. มีการส่งเสริมให้นักเรียนได้ใช้ความคิดอยู่เสมอ ด้วยการซักถาม หรือให้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาง่าย ๆ เด็กคิดหาเหตุผลเปรียบเทียบ และพิจารณาความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ<br />8. มีการส่งเสริมความคิดริเริ่ม และความคิดสร้างสรรค์ ส่งเสริมการคิดทำสิ่งใหม่ ๆ ที่ดีมีประโยชน์ไม่เลียนแบบใคร ส่งเสริมกิจกรรมสุนทรียภาพ ร้อยกรอง วาดภาพ และแสดงละคร<br />9. มีการใช้การจูงใจ ในระหว่างเรียน เช่น รางวัล การชมเชย คะแนนแข่งขัน เครื่องเชิดชูเกียรติ การลงโทษ ซึ่งจะช่วยให้เกิดความสนใจ ตั้งใจ ขยันหมั่นเพียรในการเรียนและทำกิจกรรม<br />10. มีการส่งเสริมการดำเนินชีวิตตามแบบประชาธิปไตย เปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็น มีการรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน เคารพความคิดเห็นของผู้อื่น ยกย่องความคิดเห็นที่ดี นักเรียนมีส่วนร่วมในการวางแผนร่วมกับครู<br />11. มีการเร้าความสนใจก่อนลงมือทำการสอนเสมอ <br />12. มีการประเมินผลตลอกเวลา โดยวิธีการต่าง ๆ เช่น การสังเกต การซักถาม การทดสอบ เพื่อให้แน่ใจว่าการสอนของครูตรงตามจุดประสงค์มากที่สุด<br /><br />วิธีสอนแบบต่าง ๆ<br /> ไม่สามารถกล่าวได้ว่า วิธีใดเป็นวิธีสอนที่ดีที่สุด เพราะการเรียนการสอนต้องขึ้นกับองค์ประกอบหลายประการ ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของครูที่จะต้องตัดสินใจเลือกวิธีสอนตามความเหมาะสมของสภาพที่เป็นอยู่ ควรนำเทคนิคต่าง ๆ มากระตุ้นและเร้าความสนใจของผู้เรียน โดยพิจารณาให้เหมาะสมกับเนื้อหาและเวลาที่กำหนดให้ <br />การเลือกวิธีสอน <br />- สอดคล้องกับจุดประสงค์ของบทเรียน เป็นวิธีที่มั่นใจว่าจะสามารถช่วยให้ผู้เรียนบรรลุจุดประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด<br />- สอดคล้องกับเนื้อหาสาระที่จะสอนนั้น<br />- เหมาะสมกับเวลา สถานที่ และจำนวนผู้เรียนประเภทของวิธีสอน<br />1. วิธีสอนที่ยึดครูเป็นศูนย์กลาง (Teacher – Centered Method) ได้การสอนที่ครูเป็นผู้สอน ครูเป็นผู้ดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นส่วนใหญ่ เช่น ครูจะเป็นผู้ตั้งจุดมุ่งหมาย ควบคุมเนื้อหา จัดกิจกรรม และวัดผล เป็นต้น วิธีสอนแบบนี้มีหลายวิธีได้แก่ วิธีสอนแบบบรรยาย วิธีสอนแบบสาธิต วิธีสอนโดยการทบทวน<br /> 2. ที่วิธีสอนที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Child - centered Method) ได้แก่วิธสอนทีให้นักเรียนได้มีโอกาสเป็นผู้ค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง เป็นผู้วางแผนบทเรียน ดำเนินการค้นคว้าหาความรู้ ครูเป็นเพียงผู้แนะแนวไปสู่การค้นคว้า แนะนำสื่อการเรียนการสอนจนนักเรียนได้ความรู้ด้วยตนเอง ได้แก่ วิธีสอนแบบบูรณาการ วิธีสอนแบบทดลอง วิธีสอนแบบโครงการ วิธีสอนแบบศูนย์การเรียน วิธีสอนแบบสืบสวนสอบสวน วิธีสอนแบบแบ่งกลุ่มทำงาน วิธีสอนแบบอภิปราย วิธีสอนแบบหน่วย วิธีสอนแบบอุปนัย วิธีสอนแบบนิรนัย วิธีสอนแบบแสดงบทบาท วิธีสอนแบบวิทยาศาสตร์ วิธีสอนแบบผู้เรียนมีส่วนร่วม<br /><br /><br /><br />วิธีสอนแบบขั้นทั้ง 4 ของอริยสัจสี่ (ศ. ดร. สาโรช บัวศรี)<br /> ขั้นตอนวิธีสอนแบบขั้นทั้ง 4 ของอริยสัจสี่<br />1. ขั้นกำหนดปัญหา……… (ขั้นทุกข์)<br />- ศึกษาปัญหา<br /> - กำหนดขอบเขตของปัญหาที่จะแก้<br />2. ขั้นตั้งสมมุติฐาน……….. (สมุทัย)<br />- พิจารณาสาเหตุของปัญหา<br />- จะต้องแก้ปัญหาที่สาเหตุ<br />- พยายามทำอะไรหลาย ๆ อย่างเพื่อแก้ปัญหาให้ตรงสาเหตุ<br />3. ขั้นการทดลองและเก็บข้อมูล….(นิโรธ)<br />- ทดลองใช้วิธีการต่าง ๆ<br />- ทดลองได้ผลประการใดบันทึกข้อมูลไว้<br />4. ขั้นสรุปข้อมูลและสรุปผล……. (มรรค)<br />- วิเคราะห์เปรียบเทียบ<br />- สรุปผลและแนวทางเพื่อปฏิบัติ<br /><br />วิธีสอนแบบสาธิต<br />วิธีสอนแบบสาธิต หมายถึงวิธีสอนที่ครูมีหน้าที่ในการวางแผนการเรียนการสอนเป็นส่วนใหญ่ โดยมีการแสดงหรือการทำให้ดูเป็นตัวอย่าง นักเรียนเกิดการเรียนรู้จากการสังเกต การกระทำ หรือการแสดง และอาจเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมบ้าง<br /> หลักการสอนแบบสาธิต<br />1. ครูต้องเตรียมบทเรียน และซ้อมการสาธิตมาเป็นอย่างดีก่อนสาธิตให้นักเรียนดู<br />2. ครูต้องมีจุดประสงค์ที่แน่นอนสำหรับการสาธิตทุกครั้ง และพยายามให้บรรลุจุดประสงค์<br />3. ครูต้องแสดงการสาธิตให้นักเรียนเห็นอย่างทั่วถึงกันทั้งชั้น<br />4. ครูต้องใช้เครื่องมือที่เหมาะสม ถูกต้องกับวิชานั้น ๆ<br />5. ต้องสาธิตเกี่ยวกับบทเรียน<br /> ขั้นการสาธิต<br />1. กำหนดจุดมุ่งหมายของการสาธิตให้ชัดเจน<br />2. เตรียมอุปกรณ์การสาธิต<br />3. เตรียมกระบวนการสาธิต เช่น เวลา ขั้นตอน การดำเนินการ การจบ<br />4. ทดลองสาธิต<br />5. จัดคู่มือสังเกตการสาธิต<br />6. สาธิตแล้ว นักเรียนควรได้สาธิตซ้ำ<br />7. ประเมินผลการสาธิต<br /><br />วิธีสอนแบบเล่นปนเรียน<br /> วิธีสอนแบบเล่นปนเรียน ……. (เฟรอเบล)<br />1. เหมาะสำหรับเด็กเล็ก ๆ อนุบาล ประถม<br />2. มุ่งที่จะนำเอาการไม่อยู่นิ่งของเด็กมาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ความเจริญเติบโต<br />3. มักใช้กับบทเรียนที่ไม่เพ่งเล็งด้านปริมาณของเนื้อหา<br />4. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนเล่นอย่างสนุกสนาน<br />5. มีจุดมุ่งมายให้เด็กเล่นในสิ่งที่เป็นคุณค่าทางการศึกษา ภายใต้การควบคุมของครู<br />6. ครูต้องจัดเตรียมอุปกรณ์ในการเล่นของเด็ก<br /><br />วิธีสอนแบบแก้ปัญหา<br /> วิธีสอนแบบแก้ปัญหา จอห์น ดิวอี้ เป็นกระบวนการของนักวิทยาศาสตร์<br /> ขั้นของการสอนแบบแก้ปัญหา<br />1. ขั้นตั้งปัญหา และทำความเข้าใจปัญหา<br />2. ขั้นแยกปัญหา และวางแผนแก้ปัญหา…แยกแยะปัญหาและแบ่งนักเรียนเป็นหมู่เพื่อรับปัญหาไปแก้<br />3. ขั้นลงมือแก้ปัญหา …(ค้นคว้า หาความรู้ และทดลอง)<br />4. ขั้นวิเคราะห์ข้อมูล…..(รวบรวมข้อมูลและรายงานผลหน้าชั้น)<br />5. ขั้นสรุปและประเมินผล ครูและเด็กช่วยกันนำผลงานที่ค้นคว้ามาสรุปเข้าด้วยกัน โดยเรียบเรียงเป็นเรื่องราวตามลำดับ<br /><br /> การสอนแบบโครงงาน (Project Design)<br /> เป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่มุ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ค้นหาความสามารถ ความถนัด และความสนใจของตนเองในด้านต่าง ๆ มาจากแนวคิดพื้นฐานของการเรียนรู้โดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Child Center) และการเรียนรู้ตามสภาพจริง โดยมีการศึกษาหลักการ และวิธีเกี่ยวกับโครงงานที่เลือกศึกษา วิเคราะห์ วางแผนการทำงาน ลงมือทำงาน และปรับปรุง เพื่อให้งานบรรลุตามวัตถุประสงค์ ในกระบวนการเรียนการสอนได้ใช้ทักษะกระบวนการ สอดแทรกคุณธรรม ทำงานเป็นกลุ่ม ฝึกปฏิบัติจริง เน้นผู้เรียนมีส่วนร่วม มีครูเป็นผู้ชี้แนะ ให้คำปรึกษาตลอดเวลา เน้นฝึกคนให้แสวงหาความรู้ด้วยตนเอง<br />ประโยชน์ของการจัดทำโครงงาน<br />1. ทำงานตามความถนัด ความสนใจของตนเอง<br />2. ฝึกทักษะกระบวนการทำงานด้วยตนเอง หรือร่วมกันทำงานเป็นกลุ่ม<br />3. สามารถวางแผนการทำงานเป็นระบบ<br />4. พัฒนาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์<br />5. ศึกษา ค้นคว้า และแก้ปัญหาจากการทำงาน<br />6. เป็นสิ่งยืนยันว่าเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ในโครงงานที่ทำจริง ในกรณีที่ต้องนำแสดงต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง<br />ความหมายของโครงงาน โครงงาน หมายถึง การกำหนดรูปแบบในการทำงานอย่างเป็นระเบียบ มีกระบวนการทำงานที่ชัดเจน เพื่อให้สามารถผลิตชิ้นงาน / ผลงานที่สัมพันธ์กับหลักสูตรและนำไปใช้ประโยชน์กับชีวิตจริง<br />ประเภทของโครงงาน แบ่งงออกเป็น 4 ประเภท คือ<br />1. ประเภทการศึกษาทดลอง เป็นการศึกษาเปรียบเทียบหรือพิสูจน์ความจริงตามหลัก<br />วิชาการอย่างเป็นเหตุเป็นผลหรือค้นหาข้อเท็จจริงในสิ่งที่ต้องการรู้ เช่น แสงมีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช, อาหารพื้นบ้านกับการเจริญเติบโตของไก่<br />2. ประเภทสำรวจข้อมูล เป็นการสำรวจรวบรวมข้อมูลแล้วนำข้อมูลนั้น ๆ มาจำแนกเป็นหมวดหมู่ และนำเสนอในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้ในการวางแผนหรือพัฒนางาน หรือปรับปรุงงาน เช่น การสำรวจการขาดสารไอโอดีนในชุมชน, การสำรวจการเรียนต่อของเยาวชนอำเภอสำโรงทาบ ในปี 2542<br />3. ประเภทสิ่งประดิษฐ์ เป็นการผลิตชิ้นงานใหม่ และศึกษาคุณภาพ ประสิทธิภาพ ประโยชน์คุณค่าของชิ้นงานนั้น ๆ เช่น เครื่องฟักไข่, ระบบน้ำหยดเพื่องานเกษตรโดยใช้กระป๋องน้ำมันเครื่อง<br />4. ประเภทพัฒนาผลงาน เป็นการค้นคว้าหรือพัฒนาชิ้นงานให้สามารถใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น หรือมีประสิทธิภาพสูงขึ้น เช่น การประดิษฐ์อุปกรณ์นับจำนวนด้วยพลังงานแสงอาทิตย์, การประดิษฐ์เครื่องโรยขนมจีน<br />บทบาทของผู้เรียนการสอนแบบโครงงาน (Project Design) <br />1. โครงงาน<br />2. ศึกษาข้อมูล<br />3. วิเคราะห์ข้อมูล<br />4. ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม<br />5. เขียนโครงงานวางแผนการทำงาน<br />6. ปฏิบัติตามโครงงาน<br />7. ประเมินผลโครงงาน<br /><br />การสอนแบบแก้ปัญหา<br />เป็นวิธีสอนแบบวิทยาศาสตร์ หมายถึงการสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนพบปัญหา และคิดหาวิธีแก้ปัญหา โดยขั้นทั้ง 5 ของวิทยาศาสตร์<br />ขั้นของการสอนแบบแก้ปัญหา<br />1. กำหนดปัญหา<br />2. ขั้นแยกปัญหา<br />3. ขั้นลงมือแก้ปัญหา<br />4. ขั้นวิเคราะห์ข้อมูลหรือรวบรวมข้อมูลเข้าด้วนกันและแสดงผล<br />5. ขั้นสรุปและประเมินผลหรือขั้นสรุปและนำไปใช้<br /><br />วิธีสอนแบบอนุมาน<br />วิธีสอนแบบอนุมาน เป็นการสอนจากส่วนย่อยไปหาส่วนร่วม หรือสอนจากตัวอย่างแล้วสรุปเป็นกฎหรือหลัก เช่น การสอนสูตรต่าง ๆ ในวิชาคณิตศาสตร์<br /><br />วิธีสอนแบบอุปมาน<br />วิธีสอนแบบอุปมาน เป็นการสอนตรงข้ามแบบอนุมาน คือให้เด็กเรียนรู้กฎหรือหลักความจริง แล้วจึงค้นคว้าข้อปลีกย่อย เช่น การสอนเรขาคณิต การสอนภาษาไทย ให้คำนิยาม แล้วจึงยกตัวอย่าง เป็นต้น<br /><br />วิธีสอนแบบประชาธิปไตย<br />วิธีสอนแบบประชาธิปไตย เป็นวิธีการสอนที่ครูและนักเรียนร่วมกันวางแผน กะโครงการและตั้งจุดมุ่งหมายในกิจกรรม โดยนักเรียนมีสิทธิออกเสียงเลือกกิจกรรมที่เห็นว่าดีมีประโยชน์ <br /> ขั้นตอนการจัดกิจกรรม<br />1. นักเรียนคิดหาข้อเสนอแนะปรึกษาหารือกันระหว่างเพื่อน<br />2. ให้ความคิดเห็นแก่ครู<br />3. ร่างข้อเสนอแนะ<br />4. จัดวางแผน<br />5. ครูและนักเรียนวางแผนร่วมกัน<br /> ประโยชน์<br />1. ทุกคนได้แสดงความคิดเห็น<br />2. ฝึกการรู้จักสิทธิ หน้าที่ ความรับผิดชอบ<br />3. กระบวนการกลุ่ม<br />6. ให้รู้จักตั้งปัญหา<br /><br />วิธีสอนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Participatory Learning : PL)<br />วิธีสอนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Participatory Learning : PL) โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น การตัดสินใจเลือกบทเรียนที่ต้องการเรียนรู้ในลักษณะกลุ่ม หรือศึกษาด้วยตนเอง ผู้เรียนจะร่วมกันจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทุกขั้นตอน ฝึกปฏิบัติการวางแผนการทำกิจกรรม การเรียนรู้ร่วมกัน และทำรายงานผลการเรียนรู้<br /> การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้เมื่อผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมตั้งแต่เริ่มต้น เพราะเป็นการให้ผู้เรียนค้นพบตนเอง เข้าใจความต้องการและทราบถึงระดับความสามารถของตนเอง ซึ่งจะเป็นส่วนกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้มากขึ้น<br />องค์ประกอบของ (Participatory Learning : PL)<br />1. ประสบการณ์ E1 (EXPERIENCE)<br />2. สะท้อนความคิด/ อภิปราย R&D (REFLECTION / DISCUSSION)<br />3. ความคิดรวบยอด C (CONCEPT)<br />4. ทดลอง/ ประยุกต์แนวคิด E2 (EXPERIMENTATION/ APPLICATION)<br />การเรียนการสอนแบบบูรณาการ (Integrated Learning)<br /> หมายถึง แนวคิดและแนวทางในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างการจัดการศึกษากับการดำเนินชีวิตของมนุษย์ ทั้งในด้านจุดมุ่งหมาย เนื้อหาการจัดกิจกรรม ตลอดจนการวัดผลประเมินผลโดยมรเป้าหมายสำคัญสูงสุด เพื่อการแก้ปัญหาและพัฒนาคุณภาพชีวิต<br /> เนื้อหาวิชาที่จัดต้องให้สัมพันธ์กับประสบการณ์และวิถีชีวิตจริงของผู้เรียนเพื่อให้ความรู้นั้น ๆ ไปใช้ประโยชน์ในสถานการณ์จริงได้ การเรียนรู้แบบบูรณาการ เน้นการส่งเสริมให้ผู้เรียนทำกิจกรรมร่วมกัน มีการใช้ประสบการณ์ตรงมาแก้ปัญหาการเรียนรู้ มีการสร้างสถานการณ์ที่เร้าความสนใจ และผู้เรียนจะหาทางสนองความสนใจของตนเองจากความคิดลงมือปฏิบัติเป็นการสร้างประสบการณ์ใหม่ (อ่านรายละเอียด การสอนที่ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ (chield center หน้าเมนูหลัก)<br /><br />การเรียนรู้จากสภาพจริง (Authentic Learning)<br />การเรียนรู้จากสภาพจริง (Authentic Learning) การเรียนการสอนจะเน้นที่การปฏิบัติจริง การร่วมมือกันทำงาน การคิดอย่างมีจารณญาณ การแก้ปัญหา การฝึกทักษะต่าง ๆ ที่เป็นการสร้างทักษะชีวิตให้กับตนเอง <br /> บทบาทของครู<br />1. ใช้ยุทธศาสตร์การสอนอย่างหลากหลาย<br />2. วางแผนการสอนและพัฒนาการเรียนการสอน<br />3. ให้ผุ้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ การกำหนดแนวทางการวัดผลและประเมินผลสภาพที่ปฏิบัติจริง<br />4. จัดการเรียนรู้ที่เน้นสภาพปัญหา สอดคล้องกับความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน ใช้ข้อมูลในการสังเคราะห์ อธิบาย สรุป เพื่อแก้ไขปัญหาที่สะท้อนถึงชีวิตจริง<br />5. ประเมินผลผู้เรียนที่การปฏิบัติเป็นสำคัญ เน้นพัฒนาการที่ปรากฏให้เห็น ดูคุณลักษณะและความสามารถของผู้เรียนโดยภาพรวม เช่น การสังเกต การสัมภาษณ์ การบันทึกจากผู้เกี่ยวข้อง การใช้ข้อสอบเน้นการปฏิบัติจริง (Authentic Test) การประเมินโดยใช้แฟ้มสะสมงาน (Port Folio)<br /><br />การเรียนรู้อย่างมีความสุข<br /> ผศ.กิติยวดี บุญซื่อ และคณะ ได้เสนอวิธีการเรียนรู้อย่างมีความสุขไว้ ดังนี้<br /> องค์ประกอบการเรียนที่มีความสุข<br />1. เด็กแต่ละคนได้รับการยอมรับว่าเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีหัวใจและสมอง<br />2. ครูให้ความเมตตาจริงใจและอ่อนโยนต่อเด็กทุกคนโดยทั่วถึง<br />3. เด็กเกิดความรักและความภูมิใจในตนเอง รู้จักปรับตัวได้ทุกที่ และทุกเวลา<br />4. เด็กแต่ละตนได้มีโอกาสเลือกเรียนตามความถนัดความสนใจของตนเอง<br />5. บทเรียนสนุก แปลกใหม่จูงใจให้ติดตามและเร้าใจให้อยากค้นหาความรู้เพิ่มเติมด้วยตนเอง<br />6. สิ่งที่เรียนรู้สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน<br />7. สื่อเร้าใจและตรงตามเป้าหมายที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน<br />8. ประเมินพัฒนาการของเด็กโดยรวมไม่เน้นแต่ด้านวิชาการ<br />การสอนแบบวินเนทกา<br />การสอนแบบวินเนทกา เน้นความแตกต่างของเอกัตบุคคล มุ่งส่งเสริมความเจริญงอกงามรายบุคคล<br />การสอนแบบหน่วย<br />การสอนแบบหน่วย หมายถึง การสอนที่นำเนื้อหาวิชาหลายวิชามาสัมพันธกัน สร้างเป็นบทเรียนขึ้นใหม่ เรียกว่า หน่วย โดยไม่ถือขอบเขตของวิชาแต่ละวิชาเป็นสำคัญ แต่จะยึดความม่งหมายของหน่วยที่สอนนักเรียน การเรียนเช่นนี้เป็นไปตามความสามารถและความต้องการของผู้เรียนเป็นสำคัญ แต่สอนตามจุดมุ่งหมายของแต่ละหน่วย เหมาะสำหรับเด็กประถม เพราะยังไม่ต้องการความเชี่ยวชาญวิชาใดวิชาหนึ่งโดยเฉพาะ<br /><br />การสอนแบบอภิปราย<br /> หลักการสอนแบบอภิปราย (Discussion) คือ การสอนที่มีลักษณะ ดังนี้<br />1. ผู้เรียนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสิ่งที่เรียน ความคิดเห็นที่เสนออาจได้จากประสบการณ์ การศึกษาค้นคว้า การพิจารณาไตร่ตรอง การวิเคราะห์<br />2. การเสนอความคิดเห็นจะไม่อยู่ในรูปการสรุปผลการประเมินสั้น ว่า ถูก – ผิด สำคัญ – ไม่สำคัญแต่เป็นความคิดที่เป็นคำชี้แจง โดยหลักเหตุผล มีหลักฐานสนับสนุน<br />3. ครูนักเรียนเตรียมการอภิปราย<br />4. ค้นคว้าหาความรู้<br />5. เตรียมสถานที่<br />6. ผู้อภิปรายแสดงความคิดเห็น<br />7. อภิปรายตรงประเด็น สุภาพ<br /><br />วิธีสอนแบบบทบาทสมมุติ<br /> วิธีสอนแบบบทบาทสมมุติ (Role Playing) คือ การสอนที่ให้ผู้เรียนแสดงบทบาทในสถานการณ์ที่สมมุติขึ้น คือแสดงบทบาทที่กำหนดให้ <br /> บทบาทของครู<br />1. เตรียมบทเรียนไว้ล่วงหน้าว่าจะสอนเรื่องอะไร วิชาใด เนื้อหาอย่างไร<br />2. ผู้สอนคิดบทบาทสมมุติเป็นเรื่องเหมือนกรณีตัวอย่าง กำหนดตัวละครว่ามีกี่คน ใครบ้าง<br />3. เลือกผู้เรียนที่มีบุคลิกลักษณะคล้ายตัวละคร<br />4. กำหนดเวลาแสดงไม่ควรเกิน 10 – 15 นาที<br />5. เมื่อแสดงจบ ผู้สอนตั้งประเด็น ให้ผู้เรียนทุกคนคิด หรืออภิปราย<br /><br />การสอนโดยสถานการณ์จำลอง (Simulation Gaming)<br />การสอนโดยสถานการณ์จำลอง (Simulation Gaming) คือการสอนที่ผู้สอนนำเอาสถานการณ์จริงมาจำลองไว้ในบทเรียน พยายามให้มีสภาพที่เหมือนจริงมากที่สุด<br /><br />การสอนแบบค้นพบความรู้<br />การสอนแบบค้นพบความรู้ (Discovery) คือการสอนที่ผู้เรียนค้นพบคำตอบหรือความรู้ด้วยตนเองสิ่งที่ค้นพบนั้นมีผู้ค้นพบมาก่อนแล้วและผู้เรียนก็ค้นพบความรู้หรือคำตอบนั้นด้วยตนเอง ไม่ใช่รู้จากการบอกเล่าของคนอื่น หรือจากการอ่านคำตอบ ในการสอนจะใช้สถานการณ์ให้ผู้เรียนเผชิญกับปัญหา<br /><br />การสอนแบบปฏิบัติการ (Laboratory)<br /> การสอนแบบปฏิบัติการ (Laboratory) คือการสอนที่ให้ผู้เรียนกระทำกิจกรรมภายใต้การแนะนำช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด โดยทำการทดลองปฏิบัติ ฝึกการใช้ทฤษฎีโดยผ่านการสังเกต การทดลอง<br /><br />บทเรียนโมดูล (Module)<br /> บทเรียนโมดูล (Module) คือบทเรียนหน่วยใดหน่วยหนึ่ง ที่สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้เรียนได้ศึกษาประกอบด้วยกิจกรรมและสื่อการเรียนต่าง ๆ เพื่อช่วยให้เกิดการเรียนรู้จามจุดประสงค์ของบทเรียน ประกอบด้วยส่วนสำคัญ 5 ด้าน คือ<br />1. หลักการและเหตุผล<br />2. จุดประสงค์<br />3. การประเมินผลก่อนเรียน<br />4. กิจกรรมการเรียน<br />5. การประเมินผลหลังเรียน<br /> ขั้นตอนการสร้างบทเรียนแบบโมดูล มี 11 ขั้นตอน<br />1. กำหนดเรื่องที่จะสร้างบทเรียน<br />2. เขียนหลักการและเหตุผล<br />3. กำหนดจุดประสงค์<br />4. สำรวจสื่อการเรียนและแหล่งศึกษาค้นคว้า<br />5. วิเคราะห์ภารกิจ ว่าจะให้รู้อะไร จุดประสงค์ กิจกรรม อะไร<br />6. งานที่จะให้ผู้เรียนทำ กำหนดกิจกรรมและสื่อการเรียน<br />7. สร้างเครื่องมือประเมินผล<br />8. ปรับปรุงตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ<br />9. ทดลองใช้กับกลุ่มเล็ก 5 – 10 คน เพื่อปรับปรุงแก้ไข<br />10. ทดลองใช้ในห้องเรียน เพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรง<br />11. พิมพ์ฉบับจริง แล้วนำไปใช้กับกลุ่มเป้าหมาย<br />กรวยประสบการณ์ (Cone Of Experience) เอ็ดการ์ เดล มี 11 ขั้น ได้แก่<br />11. วจนะลักษณ์ (Verbal Symbols) ได้แก่ คำบรรยาย ตำรา คู่มือ แบบฝึกหัด เอกสารสิ่งพิมพ์<br />10. ทัศนสัญลักษณ์ (Visual Symbols) ได้แก่ แผนที่ แผนภูมิ กราฟ โปสเตอร์ การ์ตูน แผนภาพ หรือไดอะแกรม<br /> 9. ภาพนิ่ง/ เสียง (Recording Radio Still Picture) ได้แก่ รูปภาพ สไลด์ ฟิล์มสตริป แผ่นใส แถบ/จานเสียง รายการวิทยุ สไลด์ประกอบเสียง<br /> 8. ภาพยนตร์ (Motion Picture) <br /> 7. โทรทัศน์ รายการโทรทัศน์สด Video<br /> 6. นิทรรศการ (Exhilbits)<br /> 5. การศึกษานอกสถานที่ ชุมชน โรงงาน<br /> 4. การสาธิต (Demonstration) ได้แก่ เครื่องมืออุปกรณ์สำหรับการสาธิต<br /> 3. นาฏการ (Dramatized Experience) การแสดงบทบาทสมมุติ ละคร หุ่น<br /> 2. ประสบการณ์จำลอง (Contrived Experience) ได้แก่ หุ่นจำลอง ของตัวอย่าง สถานการณ์สมมุติ<br /> 1. ประสบการณ์จริง (Direct purpose –Full Experience) ได้แก่ ของจริง ประสบการณ์จริง<br /><br />การสอนแบบศูนย์การเรียน (Learning Center)<br /> การสอนแบบศูนย์การเรียน (Learning Center) เป็นนวัตกรรมที่เน้นกิจกรรมการเรียนของผู้เรียนโดยแบ่งบทเรียนออกเป็น 4 – 6 กลุ่ม แต่ละกลุ่มจะมีสื่อการเรียนที่จัดไว้ในซองหรือในกล่องวางบนโต๊ะเป็นศูนย์กิจกรรม และแบ่งผู้เรียนตามศูนย์กิจกรรม กลุ่มละ 6 – 8 คน หมุนเวียนกันประกอบกิจกรรมตามศูนย์ต่าง ๆ แห่งละ 15 – 20 นาที จนครบทุกศูนย์ โดยใช้สื่อประสม (Multi Media) และกระบวนการกลุ่ม Group Process)<br /><br />การเรียนเพื่อการรอบรู้ (Mastery Learning)<br />การเรียนเพื่อการรอบรู้ (Mastery Learning) เป็นวิธีจัดการเรียนการสอนเพื่อมุ่งให้เกิดความเท่าเทียมกันในผลการศึกษา โดยยึดปรัชญาการสอนที่ว่า ภายใต้สภาพการสอนที่เหมาะสม นักเรียนทุกคนสามารถเรียนในเรื่องที่สอนนั้นได้ดี คือถ้าให้เวลาแก่นักเรียนแต่ละคนที่เขาต้องการเพื่อทำคะแนนให้ถึงเกณฑ์ และนักเรียนใช้เวลาในการเรียนอย่างจริงจังแล้ว นักเรียนจะสามารถทำคะแนนได้ถึงเกณฑ์<br /><br />นิทรรศการ<br /> วัตถุประสงค์ของนิทรรศการ มีดังนี้<br />1. ส่งเสริมความรับผิดชอบ<br />2. ส่งเสริมเสริมการทำงานร่วมกัน<br />3. ส่งเสริมทักษะการทำงาน<br />4. ส่งเสริมความคิดริเริ่ม ความสามารถในการแก้ปัญหา<br />5. ส่งเสริมความสนใจในการเรียน<br />6. ความสัมพันธ์ระหว่างบ้านกับโรงเรียน<br /><br />การศึกษานอกสถานที่<br /> หลักการศึกษานอกสถานที่<br /> 1. จัดการศึกษานอกสถานที่ให้เป็นปกติ<br /> 2. จัดการศึกษาตามความสนใจ ความต้องการ<br /> 3. ควรเล่าประวัติสถานที่ที่จะไป<br /> 4. ชี้แจงวัตถุประสงค์<br /> 5. วางแผนโดยสำรวจสถานที่ที่จะไป<br /> 6. ประเมินผล<br /> 7. ประโยชน์ ได้รับประสบการณ์ตรงการสอนแบบสัมมนา (Seminar)<br /> การสอนแบบสัมมนา (Seminar) คือการสอนที่มีลักษณะ ดังนี้<br />1. ผู้เรียนค้นคว้าให้ลึกซึ้ง แล้วมาเสนอเพื่ออภิปราย<br />2. เรื่องที่เสนอเพื่อสัมมนาอาจเป็นเรื่องเดียว หรือหลายเรื่องโดยเลือกตามความสนใจก็ได้<br />3. ในการศึกษาค้นคว้าอาจใช้วิธีใดวิธีหนึ่งหรือหลายวิธีรวมกัน เช่น ศึกษาจากตำรา เอกสาร วารสาร ศึกษาจากผู้เชี่ยวชาญทำการทดลองหรือวิจัยศึกษาจากของจริง<br /> ข้อดี<br />1. ส่งเสริมการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ความสามารถในเสนอการคิดและโต้แย้งด้วยเหตุผล<br />2. ผู้เรียนทำกิจกรรมการเรียนอย่างจริงจัง จึงช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่คงทน<br />3. ผู้เรียนได้มีโอกาสเรียนรู้จากแหล่งวิทยาการหลายแหล่ง รวมทั้งการเรียนรู้จากการอภิปราย<br /> ข้อด้อย<br />1. เหมาะสำหรับกรณีที่มีผู้เรียนจำนวนไม่มาก ไม่เกิน 20 คน ถ้ามีมากจะลดประสิทธิภาพลง<br />2. ขณะที่มีการรายงาย ผู้ที่ไม่ได้รายงานถือเป็นช่วงพักสมอง หรือคิดถึงเรื่องที่ตนจะรายงาน ขาดความสนใจ<br />3. เนื้อหากว้างเกินไปจะไม่ได้เนื้อหาเท่าที่ควร แคบเกินไปทำให้การอภิปรายไม่กว้างขวาง<br /><br /><br /><br /> </span>โชคดี ท้าวสายhttp://www.blogger.com/profile/06062059303891341057noreply@blogger.com0